อย่าอยู่อย่างอยาก
เขียนโดย อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
เป็นเรื่องจริงที่ว่า ร่างกายของมนุษย์จะส่งสัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดบางสิ่งบางอย่าง
เป็นต้นว่า เรารู้สึกกระหายน้ำมาก เวลาที่เราเล่นกีฬาและสูญเสียน้ำในร่างกาย/รู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำหลังจากทำงานมาทั้งวัน
แต่สัญญานนั้น บางครั้งก็มากเกินพอดี ผมเรียกมันว่า “ความอยาก” ถ้าเราไม่เรียนรู้ในการ “อย่าอยู่อย่างอยาก” เราจะมีชีวิตที่ “อยู่ยากอย่างยิ่ง” ผมจึงหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถสะกิดใจ ให้ทุกท่านทบทวนตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่อย่างอยากมากน้อยเพียงใด
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ความอยาก” ที่เราจะพูดถึงกันต่อไปนี้คือ “ความต้องการที่มากเกินความจำเป็น/เกินความพอดีของชีวิต”
ความอยากสามารถสร้างปัญหาให้กับชีวิตเราได้แทบทุกด้านและกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง
ผมมีปัญหาอยากกินอยู่เรื่อย แม้บางครั้งทานอิ่มแล้ว แต่พอเห็นเค้กช็อกโกแลต/ไอศกรีมนมกลิ่นหวานหอมของมัน ทำให้ผมเป็นต้องอดไม่ได้ทุกที ผลก็คือ อ้วนขึ้นมากจนคนใกล้ตัวบอกว่า ผมไม่มีเส้นขอบหน้า เพราะอ้วนจนคอกับหน้ารวมเป็นเนื้อเดียวกัน
วัยรุ่นหลายคนเก็บเงินซื้อกีตาร์ไม่ได้ซักที ก็เพราะอดไม่ได้กับการไปดูหนังกับเพื่อนๆ แทบทุกวัน
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ พวกอยากรวยแบบผิดๆ แน่นอนว่าการมีฐานะดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่คนที่อยากรวยแบบผิดๆ คนพวกนี้มักเสี่ยงกับการพนัน แทงบอล เล่นหวย ผมเคยเห็นมานักต่อนักแล้วว่า จุดจบของนักพนันนั้น ไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิดฝันในตอนแรก แต่เต็มไปด้วยน้ำตาและคำแช่งด่าจากคนรอบข้าง
ถามว่าทำไมเราจึงต้องฝึกควบคุมความอยากของตนเองด้วยนั่น ก็เพราะว่าความอยากจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามใจของคนๆ นั้น
ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะควบคุมมันในวันนี้ เราจะเป็นเหมือนคนลงแดงจากการติดยาเสพติดและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายๆ อีกต่อไป
ในความเชื่อของคริสเตียนบอกไว้ในพระธรรมกาลาเทีย 5:24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว
หมายความว่า เราต้องเอาชนะความอยากของตนเองให้ได้ แต่การทำเช่นนี้ เป็นวินัยในชีวิตที่เราต้องทำอยู่เสมอ
เหมือนคนที่ต้องการเอาชนะความโลภ ก็ต้องฝึกให้ตัวเองซื่อสัตย์ในเงินจำนวนเล็กน้อยเสียก่อน จึงจะสามารถอดใจต่อทรัพย์สินจำนวนมากได้
อย่าไปเชื่อว่าคนรวยจะไม่โกง คนรวย/จนก็โกงได้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่ฝึกตัวเองให้เอาชนะความอยากได้อยากมี
คนที่มีภรรยาสวยมาก แต่ยังสามารถนอกใจภรรยาได้ ก็เพราะเขาไม่ฝึกควบคุมตัวเองให้ดีนั่นเอง
มาถึงตรงนี้ คงจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจหลายๆ คนว่า แล้วเราจะสามารถฝึกฝน ควบคุมความอยากของเราได้อย่างไร
คำตอบของตัวผมเองคงไม่น่าเชื่อถือ เพราะผมเองก็ยังคงเป็นนักเรียนที่ยังต้องฝึกฝนตัวเองอยู่ทุกวัน
แต่คำตอบที่มาจากพระคำของพระเจ้า เกี่ยวกับการฝึกฝนตนเองมีใจความว่า 2 ทิโมธี 2:3-7
2 ทิโมธี 2:3 จงทนการยากลำบากด้วยกันกับทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์
2 ทิโมธี 2:4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ
2 ทิโมธี 2:5 นักกีฬาจะมิได้สวมพวงมาลัยถ้าเขาไม่แข่งขันตามกติกา
2 ทิโมธี 2:6 กสิกรผู้ตรากตรำทำงานก็ควรเป็นคนแรกที่ได้รับผล
2 ทิโมธี 2:7 จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่ท่านในทุกสิ่ง
พระธรรมตอนนี้ ได้ให้หลักการฝึกฝนตนเอง โดยเปรียบเทียบกับอาชีพต่างๆ ดังนี้
ประการแรก “ทหารชนะความอยากด้วยการอดทน” ผู้ที่เคยเรียนรักษาดินแดนมาก็คงพอนึกภาพออกว่าคนเป็นทหารต้องอดทนหลายเรื่อง เช่น ต้องวิ่งทั้งเช้าและเย็น เพื่อร่างกายที่แข็งแรงและเอาชนะความอยากนอนตื่นสายของตัวเองให้ได้ ทหารต้องเก็บรักษาอาวุธประจำกาย ซึ่งโดยมากในประเทศไทยจะเป็นปืน “เฮคเลอร์แอนด์คอช HK 33 /ปลย.11 หนักประมาณ 3.5 กก. ดูเหมือนเบาแต่ถ้าต้องแบกนานๆ ก็เล่นเอาเมื่อยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ฝึกแบกอาวุธไว้ ทหารก็จะไม่ชินในเวลาศึกสงคราม
ประการที่ 2 “ทหารชนะความอยากด้วยการจดจ่อในภารกิจ” ความอยากเติบโตได้ดี ถ้าเราวอกแวกง่าย เรียกว่าแกว่งตาไปหาตัณหา พระเยซูยังทรงเตือนไม่ให้เรามองหญิงด้วยใจกำหนัด ถ้าเราไม่อยากเป็นคนเจ้าชู้ ก็ไม่ควรใช้เวลามองผู้หญิงอื่นมากไปกว่าการสนใจภรรยาของตนเอง เพราะถ้ามองก็จะเกิดการเปรียบเทียบ และเหมือนสุภาษิตฝรั่งที่ว่า “สนามหญ้าข้างบ้าน มักเขียวกว่าบ้านเราเสมอ”
ประการที่ 3 “นักกีฬาชนะความอยากด้วยการเคารพกติกา” ไม่แปลกอะไรที่เราอยากเป็นที่ 1 แต่ถ้าเราไม่ควบคุมความอยากเอาชนะ เราก็จะละเมิดกติกา/ศีลธรรมที่ดี บางคนคิดว่าไม่มีใครจำที่ 2 ได้หรอก จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ 1 โดยไม่สนกติกา การกระทำเช่นนั้น จะบ่มเพาะนิสัยขี้โกงให้หนักข้อยิ่งขึ้นทุกวัน และเมื่อวันที่ความจริงเปิดเผย เหรียญรางวัลที่เขาได้ก็จะถูกริบไป เหลือเพียงความเสียใจและคำเย้ยหยันจากคนรอบข้าง
ประการที่ 4 “กสิกรชนะความอยาก เพราะเขาเกี่ยวเก็บสิ่งที่เขาลงแรง” ชัยชนะเป็นเรื่องน่ายินดีโดยเฉพาะเมื่อชัยชนะนั้นเกิดขึ้นจากความมานะบากบั่นของตนเอง คำพูดผู้เฒ่าผู้แก่ที่ว่า “ข้าวที่เราปลูกเองอร่อยที่สุด” ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากความอร่อยแล้ว เรายังรับความภูมิใจของตนเองด้วย
ถ้าท่านได้รับความสำเร็จจากการเอาชนะต่อความอยากของท่านได้สักเรื่อง เชื่อเถอะว่าท่านจะรู้สึกยินดี และจะเป็นเชื้อไฟให้ท่าน สามารถทำในสิ่งที่ยากขึ้นไปได้อีก
สุดท้ายอยากฝากให้พิจารณาใคร่ครวญตนเองอย่างเอาจริงเอาจังและทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเราจะไม่ต้องเป็นคนที่ “อยู่อย่างอยาก” อีกต่อไป
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น