วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556
การยืนหยัดของดาเนียล
การยืนหยัดของดาเนียล
เขียนโดย อ.วาระ มีชูธน
ผมรู้สึกว่าบางครั้ง หากเรามีปัญหาข้อข้องใจฝ่ายจิตวิญญาณ เราควรจะต้องมีคนบางคนที่เราสามารถคุยด้วยได้ มีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเราได้ อย่างเช่น เรื่องเพศ/เรื่องแฟน/แม้แต่กับเพื่อน เราสามารถคุยเข้าใจได้เพียงบางเรื่องเท่านั้น บางครั้งจึงต้องคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก แต่ก็มั่นใจในตัวคนนั้น เช่น คนเครียดต้องคุยกับหมอ เราจะเห็นได้ว่าสมัยนี้ Hot line วัยรุ่นจึงมาแรง นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์และยืนยันได้ว่า เด็กวัยรุ่นต้องการคนที่คุยด้วยได้ ต้องการระบายปัญหาและต้องการรับการแนะแนว ตอนนี้ในชั้นรวีที่คริสตจักรเมืองไทยเรา กำลังเรียนเรื่องของดาเนียล กำลังเข้มข้น เพราะฉะนั้นผมจึงอยากแบ่งปันในสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการสอนรวีในครั้งนี้
ดาเนียลบทที่ 1
ดาเนียล 1:1 ในปีที่ 3 ของรัชกาลเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงล้อมเมืองไว้
ดาเนียล 1:2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเยโฮยาคิม กษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในหัตถ์ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งเครื่องใช้บางชิ้นแห่ง พระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ท่านก็นำของเหล่านั้นมายังแผ่นดินชินาร์มายังนิเวศแห่งพระของพระองค์ท่าน และ ทรงบรรจุเครื่องใช้เหล่านั้นไว้ในคลังของพระของพระองค์ท่าน
ดาเนียล 1:3 แล้วกษัตริย์นั้นก็ทรงบัญชาให้อัชเปนัสหัวหน้าขันทีของพระองค์ท่าน ให้นำคนอิสราเอลบางคน ทั้งเชื้อพระวงศ์และ เชื้อสายของขุนนาง
ดาเนียล 1:4 พวกหนุ่มๆที่ปราศจากตำหนิ มีรูปร่างงามและเชี่ยวชาญในสรรพปัญญา กอปรด้วยความรู้และเข้าใจในสรรพวิทยา กับสามารถที่จะรับราชการในพระราชวัง และทรงให้สอนวิชาและภาษาของคนเคลเดียให้เขาทั้งหลาย
ดาเนียล 1:5 พระราชาทรงให้นำอาหารสูงซึ่งพระราชาเสวย และเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ท่านดื่มให้แก่เขาเหล่านั้นตามกำหนดทุกวัน ทรงให้เขาทั้งหลายรับการเลี้ยงดูอยู่สามปี เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วก็ทรงให้เขาเข้ารับราชการ
ดาเนียล 1:6 ในบรรดาคนเผ่ายูดาห์นั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์
ดาเนียล 1:7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่า เมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าอาเบดเนโก
ดาเนียล 1:8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่า จะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน ด้วยอาหารสูงของพระราชา/ด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน
ดาเนียล 1:9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล
ดาเนียล 1:10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้า เข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา"
ดาเนียล 1:11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์
ดาเนียล 1:12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม
ดาเนียล 1:13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น"
ดาเนียล 1:14 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่ 10 วัน
ดาเนียล 1:15 เมื่อครบ 10 วันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับ ประทานอาหารสูงของพระราชา
ดาเนียล 1:16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา
ดาเนียล 1:17 ฝ่ายอนุชนทั้ง 4 คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญาและดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ
ดาเนียล 1:18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัด เนสซาร์
ดาเนียล 1:19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ
ดาเนียล 1:20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่า พวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์ 10 เท่า
ดาเนียล 1:21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส
ดาเนียลบทที่ 1 พูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองของเยรูซาเล็มที่กำลังย่ำแย่ เพราะกษัตริย์เมืองบาบิโลนได้ยกทัพมาตีและตีได้สำเร็จด้วย เมื่อตีเสร็จแล้วจึงคัดเอาบุคลากรที่ฉลาด แข็งแรง มีฝีมือในการทำงานไปเป็นนักโทษ ไปเป็นคนงาน ไปใช้งานในเมืองบาบิโลน ทหารบาบิโลนได้ยกเอาข้าวของต่างๆ ในพระวิหารกลับไปยังบาบิโลนด้วย
ลองคิดดูนะครับถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรา ตัวผมและท่านผู้อ่านต้องถูกต้อนไปใช้แรงงานเหมือนทาส ต้องทำงานในต่างแดน ต้องเห็นคนอื่นมาทำลายสถานที่ มาฉกฉวยเอาสิ่งของที่เรารักมากๆ ไปจากเรา โดยที่เราต้องได้แต่นั่งมอง คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหมครับ
ดาเนียลและเพื่อนๆ ก็คงรู้สึกทั้งโกรธเกลียดและเสียใจเช่นเดียวกัน
มีประโยคหนึ่งว่า “God Delivered” หมายถึง พระองค์ทรงยกให้/ทรงปลดปล่อย พระคัมภีร์เขียนชัดเจนว่า พระองค์ทรงมอบเยรูซาเล็มให้กับบาบิโลน
เมื่อผมอ่านครั้งแรก ผมแทบไม่อยากเชื่อว่า พระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักนิรันดร์ จะทำอย่างนี้กับคนที่รักพระองค์ พระองค์เป็นสาเหตุให้สงครามนี้เกิดขึ้นหรือ?
แล้วในชีวิตของเรา เมื่อเราสูญเสียคนที่เรารัก เอ็นทรานส์ไม่ติด เลิกกับแฟน เกิดอุบัติเหตุและมีสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต ฯลฯ พระเจ้าเป็นผู้ Deliver ให้เราหรือ??
จริงอยู่ ที่พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งและพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เกิด แล้วจะเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์จะไม่บังคับคือ การตัดสินใจของเรา พระองค์ทรงอนุญาตให้เราตัดสินใจเอง
มีน้องในกลุ่มอนุชนคนหนึ่ง อธิบายได้ดีมาก คือ เหมือนกับคุณพ่อที่อนุญาตให้ลูกๆ ออกไปเล่นในสนาม โดยรู้ว่าอาจมีอันตราย/โอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ แต่คุณพ่อก็ได้กำชับและให้กฎเกณฑ์ในการออกไปเล่นกับลูกๆ ไว้ ถ้าลูกๆ เชื่อฟังคำแนะนำก็คงไม่มีปัญหา/การทะเลาะเบาะแว้งกัน พระเจ้าอนุญาตให้ลูกๆ ของพระองค์ใช้ชีวิตตามการตัดสินใจของตนเอง โดยทรงมีแนวทางวางไว้ให้แล้ว
เมื่อดาเนียลและเพื่อนๆ ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม และเดินทางไปยังบาบิโลน พวกเขาหลายคนคงจะสงสัยพระเจ้า โกรธพระเจ้า ไม่เข้าใจพระองค์
คงมีคริสเตียนหลายคนที่เมื่อเจอเหตุการณ์ในชีวิตมาถึงขั้นวิกฤติ คงจะบ่นและต่อว่าพระเจ้า งอนพระองค์ ไม่ยอมคุยด้วย โดยคิดว่าทุกสิ่งเป็นแผนการของพระเจ้า
ในพระคำดาเนียลข้อต่อๆ มา บอกไว้ว่า พวกบาบิโลนได้ยกเอาสิ่งของในพระวิหารไปเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติร่วมกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ขณะที่คริสเตียนชาวเยรูซาเล็มจะต้องไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เยเรมีย์ 1:8 อย่ากลัวหน้าเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยกู้เจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
นั่นหมายความว่า เพื่อจะอยู่ร่วมกับคนของพระองค์ พระเจ้าทรงยอมเอาตัวของพระองค์ตามติดคริสเตียนชาวเยรูซาเล็มไปยังบาบิโลนด้วย โดยทรงยอมไปอยู่ในห้องเก็บสมบัติมืดๆ
อย่าลืมว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะลำบาก/มืดมิดสักเท่าไหร่ ขอให้ระลึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ๆ เรา คอยฟังเราและพระองค์ทรงเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
เมื่อพวกของดาเนียลมาถึงกรุงบาบิโลน พวกบาบิโลนพยายามจะเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นตัวของดาเนียล
อย่างแรก คือ ความคิดของดาเนียล พยายามสอนภาษาใหม่ๆ การศึกษาใหม่ มุมมองใหม่
อย่างที่ 2 คือ เขาเปลี่ยนชื่อของดาเนียลใหม่ จริงๆ แล้ว ดาเนียลแปลว่าพระเยโฮวา (คือผู้ตัดสิน) แต่ถูกเปลี่ยนเป็น เบลเทชัสซาร์แปลว่าพระเจ้าเบลผู้ทรงพิทักษ์
ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยเขียนเล่าถึงความหมายเรื่องชื่อเมื่อฉบับก่อนหน้าไว้แล้วว่า
ชื่อในพระคัมภีร์เดิมนั้น จะมีความหมายถึง ความเป็นตัวของคุณเองอย่างแท้จริง เรียกว่าเป็น Identity คือ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร มีความหมายเป็นส่วนตัว
ถามว่าคุณจะรู้สึกยังไงถ้าเพื่อนๆ มาเปลี่ยนชื่อคุณทุกวันๆ ว่า ซาตาน!!!
หลายครั้งโลกพยายามจะเปลี่ยน Identity ของเรา ความเป็นตัวเรา ซึ่งแท้ที่จริงควรจะวางอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับนำไปวางอยู่บนสิ่งของที่เรามี ยี่ห้อที่เราใช้และบนของภายนอกที่ไร้ค่า
แต่เราต้องอย่ายอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลกนะครับ
ถ้าเราดูจากพระธรรมดาเนียล ก็จะเห็นว่า ยังคงเรียกดาเนียลว่าดาเนียลตั้งแต่ต้นจนจบ แสดงให้เห็นว่าดาเนียลไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ไม่ได้ยอมจำนนต่อแรงกดดันใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต
อย่างที่ 3 คือ อาหารการกิน ทำไมการเปลี่ยนอาหารการกินจึงเป็นเรื่องใหญ่ คำตอบคือ ถ้าเป็นการกินอาหารที่เปลี่ยนเมนูแต่ละมื้อ มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราพูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนการกินอาหารที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อนี่ซิเรื่องใหญ่
ยกตัวอย่างเช่น คนอิสลามไม่ทานหมู คนฮินดูไม่กินเนื้อ นั่นแหละครับ เราจะไปเปลี่ยนการกินของพวกเขาไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความเชื่อ
ดาเนียลจะไม่กินอาหารจากรูปเคารพ/จากพระอื่นๆ อย่างเด็ดขาด ที่จริงไม่ใช่ว่าเขากินไม่ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่กิน ดาเนียลได้ตัดสินใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Resolve” คือ การยืนหยัดบนหลักการณ์ของความเชื่อ เป็นการตัดสินใจยืนหยัดบนหลักการณ์ของความเชื่ออย่างแน่วแน่ตลอดชีวิตของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง
คุณและผมน่าจะมาลอง “Resolve” ตัวเองต่อพระเจ้าว่า เราจะยืนหยัด ในขณะที่คนอื่นๆ อาจยอมคุกเข่า และตัดสินใจอย่างแน่วแน่กับพระองค์ เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้และทรงครอบครอง ควบคุมทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างโดยแท้จริง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น