วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นิสิตสาวจุฬาฯ ตายคาเท้าหมอนวดเถื่อนเขมร

แอมมี่ บัณฑิตเกียรตินิยมจุฬาฯ ตาย
นิสิตสาว 
ตายคาเท้าหมอนวดเถื่อนเขมร
 ภาพแห่งความทรงจำ

หมอเถื่อนเขมร


ข่าวเด่นเย็นนี้ 
หมอเถื่อนเขมร ช่อง 3
ทะลายคลีนิคเถื่อน
อ้างพรจากพระเจ้า
หมอเถื่อนเขมรอ้างรักษาได้ทุกโรค
หมอนวดเขมร

ลวงด้วยศรัทธา รักษาโรค

JorKoaDen
ลวงด้วยศรัทธา รักษาโรค 1
27 9 2555
JorKoaDen
ลวงด้วยศรัทธา รักษาโรค2
27 9 2555
 เจาะข่าวเด่น 27-9-55 คดีหมอเขมร-TMC
 เจาะข่าวเด่น 28-9-55 คดีหมอเขมร 2-TMC
 เจาะข่าวเด่น 28-9-55 คดีหมอเขมร 3

คุณหมอประกายสิริ วงศ์


คุณหมอประกายสิริ วงศ์ ตอน 1

 คุณหมอประกายสิริ วงศ์ ตอน2
คุณหมอประกายสิริ วงศ์ ตอน3
 คุณหมอประกายสิริ วงศ์ ตอน4
 คุณหมอประกายสิริ วงศ์ ตอน 5 จบ


วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ


คลินิกสุขภาพ 
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

นอนกรน ปล่อยไว้อันตราย


นอนกรน ปล่อยไว้อันตราย

โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

Aroka Party 
โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)



โรคเบาหวานแฝง (Diabetes hidden)

Aroka Party 
โรคเบาหวานแฝง (Diabetes hidden)

โรคเครียด (Seriousness)

Aroka Party โรคเครียด (Seriousness)

ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรดีต่อร่างกาย

ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรดีต่อร่างกาย

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ Aroka Party Part 1
 โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ Aroka Party Part 2

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อยากรีบกลับบ้านไหม

อยากรีบกลับบ้านไหม

โดย ศจ. ดร. เสรี หล่อกัณภัย เมื่อ 10 สิงหาคม 2012 เวลา 12:08 น.

ทุกวันนี้ ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และของคนทั้งโลก

ครอบครัวของคนไทยปัจจุบัน ต้องกระจัดกระจายกันอยู่คนละที่คนละทาง เพราะหลายสาเหตุ

บางครั้งเพราะหน้าที่การงาน 
บางครั้งเพราะการศึกษา 
บางครั้งก็เพราะเรื่องเศรษฐกิจในสมัยนี้

ถ้าเด็กคนไหนได้อยู่กับพ่อ/แม่ของตัวเองก็ดีกว่าเด็กคนอื่นๆ อีกหลายคนมากนัก

จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ 
ดูเหมือนว่ามีเด็กอยู่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบกลับบ้าน ชอบออกไปก่อเหตุนอกบ้าน

ผมจึงได้ทำแบบสอบถามขึ้นมาถามเด็กนักเรียน 3 ระดับชั้นคือ 
ประถมปลาย มัธยมต้นและมัธยมปลาย

ว่าหลังโรงเรียนเลิกแล้ว เขาอยากรีบกลับบ้านหรือไม่?

ในคำจำกัดความของบ้าน 
คือสถานที่พักของเขา ที่มีคุณพ่อ/คุณแม่อาศัยอยู่ด้วย

เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ก.ค. 2012 ที่ผ่านมา 
ผมได้แจกแบบสอบถามออกไป 250 ชุด 
ให้กับเด็กที่มาร่วมแข่งขัน 
“ซูเปอร์จิ๋วเจาะโลกพระคัมภีร์ เขตภาคกลาง”

ซึ่งเป็นเด็กๆ ที่มาจากกรุงเทพฯ และหลายจังหวัดในภาคกลาง

ได้แก่ 
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด จันทบุรี ระยอง
นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ ปทุมธานี 
ราชบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว เพชรบูรณ์

แจกไป 250 ชุด ได้รับกลับคืนมา 174 ชุด แยกเป็น
ประถมปลาย 52 ชุด มัธยมต้น 63 ชุด มัธยมปลาย 53 ชุด 

เมื่อประมวลผลแล้วพบว่า
คำตอบจากเด็ก 3 ช่วงวัยน่าสนใจมาก คือ

รุ่นประถมปลาย 87% ตอบว่าอยากรีบกลับบ้านและ 13% ไม่อยากกลับบ้าน
เหตุที่อยากกลับบ้าน เพราะรู้สึกอบอุ่นจากความรักของพ่อแม่ 

รุ่นมัธยมต้นพบว่า 59% ที่อยากกลับบ้านและ 30% ไม่อยากรีบกลับบ้าน
เหตุผลที่อยากกลับบ้าน เพราะได้ดูทีวีและดูหนัง

 ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากกลับบ้าน มากกว่าระดับมัธยมปลาย
เหตุผลหลักก็คือ 
เด็กมัธยมต้นอยากเล่นกับเพื่อน อยากทำการบ้านกับเพื่อน อยากสนุก
ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเพื่อน 

หากพ่อแม่ที่มีลูกในวัยนี้ต้องการให้ลูกของท่านกลับบ้าน 
ก็อย่าลืมเอาใจใส่เพื่อนของลูกด้วย
คือเปิดโอกาสให้ลูกชวนเพื่อนมาเล่นที่บ้าน/มาที่บ้านเพื่อทำการบ้านด้วยกัน


ประโยชน์ที่พ่อแม่จะได้รับคือ 
ท่านจะได้ดูแลลูกใกล้ชิดขึ้นและรู้ว่าลูกของท่านคบเพื่อนประเภทไหน
หากลูกของท่านไม่กลับบ้าน 
ก็ยังคะเนได้ว่าลูกของท่านน่าจะไปกับเพื่อนคนไหนบ้าง

คำตอบแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด 
ทั้งนี้ มีปัจจัย 2 อย่างที่เกี่ยวข้อง คือ
ในระดับมัธยมต้นมีเด็กที่อยู่หอพัก 6% และอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ 5%

รุ่นมัธยมปลายอยากกลับบ้านเพิ่มขึ้นจากระดับมัธยมต้น
เป็น 62% และไม่อยากกลับบ้านเพียง 13% เทียบเท่ากับประถมปลาย

สำหรับระดับมัธยมปลายนั้น 
สาเหตุที่ทำให้เด็กไม่อยากกลับบ้านก็คล้ายคลึงกัน
พบว่านักเรียนมัธยมปลายอยู่หอเพิ่มขึ้นเป็น 25%
แต่เพิ่มมาอีกอย่างคือการเรียนพิเศษ 
นั่นแสดงให้เห็นว่า นักเรียนระดับมัธยมปลายให้ความสำคัญกับการเรียนเพิ่มขึ้น
 อีกทั้งยังให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดด้วย

โดยภาพรวมนักเรียนส่วนใหญ่ ยังอยากรีบกลับบ้านมากกว่าไม่อยากกลับบ้าน 

นักเรียนแต่ละวัยให้ความสำคัญและความต้องการอยู่บ้านแตกต่างกัน

ดังนั้นผู้ที่เป็นพ่อแม่ 
ไม่ควรมองข้ามการปรับเปลี่ยนสภาพบ้านให้เหมาะสมกับเด็กๆ ของท่าน 
ตามวัยของเขาด้วย

เช่น
 ประถมปลายให้ความอบอุ่นมากๆ 
มัธยมต้นเน้นความสนุกสนาน
มัธยมปลายให้ความสำคัญกับความปลอดภัย

เมื่อพ่อแม่ทำให้บ้านน่าอยู่/น่ากลับ 
เมื่อลูกๆ ได้เผชิญปัญหาชีวิตภายนอกบ้าน เขาก็จะคิดถึงบ้านและจะกลับบ้าน

เหมือนเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์

ที่ลูกคนหนึ่งออกจากบ้านไปพร้อมกับเงินทองที่พ่อให้ 
เพื่อไปใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตัวเอง 
จนวันที่เงินทองเหล่านั้นหมดไป ถึงคราวตกอับ จึงคิดถึงพ่อและอยากกลับบ้าน
ลก.15:17-19

ลก.15:17 
เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า 
"ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก 
ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร

ลก.15:18 
จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า 
"บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย

ลก.15:19
 ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป 
ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด"

การเปลี่ยนศาสนา

เหตุผลในการนับถือศาสนาและการเปลี่ยนศาสนา

โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ เมื่อ 28 สิงหาคม 2012 เวลา 14:09 น.

     "ทำไมคนเราถึงนับถือศาสนา" ในทางศาสนวิทยานั้น ได้วิเคราะห์สาเหตุในการนับถือศาสนาของมนุษย์เราไว้หลายประการ ดังนี้ 

     1.เพราะมนุษย์เรากลัวธรรมชาติ ที่ตนเองไม่รู้ จนต้องวิงวอนและร้องขอในสิ่งที่อยากได้

     2.เพราะมนุษย์เราสงสัยและต้องการคำอธิบายว่าโลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะเป็นเช่นไรต่อไป 

     3.เพราะมนุษย์เราต้องการควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ให้สังคมสงบสุข โดยอาศัยความเชื่อที่ผู้นำสร้างขึ้น

     4.เพราะมนุษย์เราต้องการที่จะพ้นจากความทุกข์และคำอธิบายสำหรับความทุกข์ เช่น ความอดอยากโรคระบาด ความแก่ ความตาย การสูญเสีย ความผิดหวังต่างๆ   

     เหตุผลข้างต้นเหล่านี้ กลายเป็นที่มาของศาสนาและศาสนาที่มีอยู่มากมาย ทั้งเก่าและใหม่ ล้วนแต่ต้องพยายามตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของมนุษย์  

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการเหล่านี้จะก่อให้เกิดศาสนา แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นเหตุผลของการที่คนเรานับถือศาสนา

     ในทางศาสนวิทยา ก็ยังพบว่าคนเราอยากมีศาสนาด้วยเหตุผลอีกหลายอย่าง

     ความกลัวสิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุพื้นฐานที่สุด แต่เหตุอื่นๆ ก็คือแรงจูงใจ เพื่อการนับถือตนเองในแง่อื่นๆ เพื่อการเสียสละ ติดตามอุดมคติทางศีลธรรม สำนึกและกลับใจในความผิดบาปที่ตนทำ ชอบคำสอน เห็นแบบอย่างและเลียนแบบจากคนอื่นที่นับถือศาสนา

     แรงกระตุ้นและแรงกดดันจากสังคม สังคมหนุน/กดดันให้ผู้คนนับถือศาสนา อยากได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เหตุผลเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของเหตุผลที่คนเรานับถือศาสนาในทุกวันนี้ แต่เป็นเพียงเหตุผลที่ทำให้ศาสนาเกิดเท่านั้น

     เมื่อศาสนาใดศาสนาหนึ่งได้ถูกวางรากลงไปในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง เหตุผลในการนับถือศาสนาของคนเราก็จะเริ่มเปลี่ยนไป

     คนรุ่นแรกอาจมีศรัทธาและมีเหตุผลในการนับถือศาสนานั้นๆ อย่างแท้จริง

     แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลาน เหตุผลในการนับถือศาสนาก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็น "การนับถือศาสนาตามพ่อแม่/นับถือศาสนาของพ่อแม่ (parent's religion)" ซึ่งพ่อแม่โดยส่วนใหญ่ก็มักจะนับถือศาสนาของปู่ย่าตายาย/ศาสนาของตระกูล  ไล่ลำดับขึ้นไปมักเป็นศาสนาของชุมชนท้องถิ่น/อาจไปจนถึงศาสนาประจำชาติ

     ถ้าหากศาสนานั้นๆ ยังสามารถตอบสนองความต้องการของตนและชุมชนได้พอสมควร ความมั่นคงในศาสนานั้นๆ ก็จะคงอยู่ต่อไป แต่ถ้าหากเริ่มตอบสนองไม่ได้ ก็อาจนำไปสู่ "การเปลี่ยนศาสนา"  (religion conversion)

     แต่ถึงกระนั้น การเปลี่ยนศาสนาของมนุษย์เราก็มีหลายเหตุผล มีการรวบรวมสาเหตุที่ผู้คนเปลี่ยนศาสนาไว้หลายประการดังนี้

     1.การตัดสินใจของตนเอง (Active conversion) ผิดหวังกับศาสนาเดิม  และ/หรืออยากลองศาสนาใหม่ รู้สึกน่าศรัทธามากกว่า/มีความเข้าใจ/มีประสบการณ์ด้วยตัวเองจริงๆ 

     2.อิทธิพลความสัมพันธ์ (Secondary conversion) ตามคนอื่นนั่นเอง เช่น ตามคู่สมรส/ตามพ่อแม่/แฟน/ญาติ/เพื่อน/วงสังคม

     3.ต้องการผลประโยชน์ (convenience) เช่น อยากให้ลูกได้เข้าเรียน/ได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน/องค์กรศาสนานั้นๆ/เพื่อจะได้เข้าทำงานง่ายขึ้น/ได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาล/ได้รับการช่วยเหลืออื่นๆ/ได้รับสิทธิพิเศษทางการเมือง  มีโอกาสได้รับเลือกตั้งมากขึ้น  ได้คะแนนนิยมมากขึ้นฯลฯ 

     4.การสมรส (Marital conversion) เช่น ถ้าอยากแต่งงานต้องเปลี่ยนศาสนาก่อน จึงจะแต่งงานได้  

     5.ถูกบังคับ (Forced conversion) เช่น หากนับถือศาสนาอื่นจะถูกข่มเหง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนา/ประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของกลุ่มศาสนาอื่น โดยบังคับให้ประชาชนเปลี่ยนศาสนา/ละทิ้งศาสนาเดิม  

     6.ก่อนสิ้นใจ (Deathbed conversion) กรณีเปลี่ยนก่อนสิ้นใจ/บนเตียงคนไข้ก่อนสิ้นใจ/ในสนามรบก่อนสิ้นใจ มักเกิดจากการความเชื่อว่ามีโอกาสที่ดวงวิญญาณได้ไปสู่สวรรค์หลังจากตายแน่นอน   

     ประเด็นเรื่อง "เหตุในการนับถือศาสนาและการเปลี่ยนศาสนา" เป็นข้อคิดที่เราควรนำมาตรวจสอบตัวเอง/คนอื่นเป็นครั้งคราว ว่า การนับถือศาสนาของเรามีเหตุผลอะไร/มีหลายเหตุผลประกอบกัน ก็ต้องพิจารณาว่ามีเหตุผลอะไรเป็นหลัก เป็นเหตุผลที่ดีหรือไม่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของศาสนานั้นๆ อย่างแท้จริงหรือไม่

     เพราะหากไม่แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับคำที่มักใช้เรียกกันว่า "นับถือศาสนาแต่เปลือก/นับถือศาสนาแต่ปาก"   นั่นเอง

 ขอขอบคุณเจ้าของข้อมูลมา ณ ที่นี้ด้วยคะ

อย่าอยู่อย่างอยาก

อย่าอยู่อย่างอยาก

เขียนโดย อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง  

     เป็นเรื่องจริงที่ว่า ร่างกายของมนุษย์จะส่งสัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดบางสิ่งบางอย่าง 


     เป็นต้นว่า เรารู้สึกกระหายน้ำมาก เวลาที่เราเล่นกีฬาและสูญเสียน้ำในร่างกาย/รู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำหลังจากทำงานมาทั้งวัน

     แต่สัญญานนั้น บางครั้งก็มากเกินพอดี ผมเรียกมันว่า “ความอยาก” ถ้าเราไม่เรียนรู้ในการ “อย่าอยู่อย่างอยาก” เราจะมีชีวิตที่ “อยู่ยากอย่างยิ่ง” ผมจึงหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถสะกิดใจ ให้ทุกท่านทบทวนตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่อย่างอยากมากน้อยเพียงใด 

     ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ความอยาก” ที่เราจะพูดถึงกันต่อไปนี้คือ “ความต้องการที่มากเกินความจำเป็น/เกินความพอดีของชีวิต” 


     ความอยากสามารถสร้างปัญหาให้กับชีวิตเราได้แทบทุกด้านและกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง 

     ผมมีปัญหาอยากกินอยู่เรื่อย แม้บางครั้งทานอิ่มแล้ว แต่พอเห็นเค้กช็อกโกแลต/ไอศกรีมนมกลิ่นหวานหอมของมัน ทำให้ผมเป็นต้องอดไม่ได้ทุกที ผลก็คือ อ้วนขึ้นมากจนคนใกล้ตัวบอกว่า ผมไม่มีเส้นขอบหน้า เพราะอ้วนจนคอกับหน้ารวมเป็นเนื้อเดียวกัน

     วัยรุ่นหลายคนเก็บเงินซื้อกีตาร์ไม่ได้ซักที ก็เพราะอดไม่ได้กับการไปดูหนังกับเพื่อนๆ แทบทุกวัน

     ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ พวกอยากรวยแบบผิดๆ แน่นอนว่าการมีฐานะดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่คนที่อยากรวยแบบผิดๆ คนพวกนี้มักเสี่ยงกับการพนัน แทงบอล เล่นหวย ผมเคยเห็นมานักต่อนักแล้วว่า จุดจบของนักพนันนั้น ไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิดฝันในตอนแรก แต่เต็มไปด้วยน้ำตาและคำแช่งด่าจากคนรอบข้าง 


ถามว่าทำไมเราจึงต้องฝึกควบคุมความอยากของตนเองด้วยนั่น ก็เพราะว่าความอยากจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามใจของคนๆ นั้น 

     ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะควบคุมมันในวันนี้ เราจะเป็นเหมือนคนลงแดงจากการติดยาเสพติดและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ง่ายๆ อีกต่อไป

     ในความเชื่อของคริสเตียนบอกไว้ในพระธรรมกาลาเทีย 5:24 ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว


     หมายความว่า เราต้องเอาชนะความอยากของตนเองให้ได้ แต่การทำเช่นนี้ เป็นวินัยในชีวิตที่เราต้องทำอยู่เสมอ 

     เหมือนคนที่ต้องการเอาชนะความโลภ ก็ต้องฝึกให้ตัวเองซื่อสัตย์ในเงินจำนวนเล็กน้อยเสียก่อน จึงจะสามารถอดใจต่อทรัพย์สินจำนวนมากได้ 

     อย่าไปเชื่อว่าคนรวยจะไม่โกง คนรวย/จนก็โกงได้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่ฝึกตัวเองให้เอาชนะความอยากได้อยากมี 

     คนที่มีภรรยาสวยมาก แต่ยังสามารถนอกใจภรรยาได้ ก็เพราะเขาไม่ฝึกควบคุมตัวเองให้ดีนั่นเอง

     มาถึงตรงนี้ คงจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจหลายๆ คนว่า แล้วเราจะสามารถฝึกฝน ควบคุมความอยากของเราได้อย่างไร 

     คำตอบของตัวผมเองคงไม่น่าเชื่อถือ เพราะผมเองก็ยังคงเป็นนักเรียนที่ยังต้องฝึกฝนตัวเองอยู่ทุกวัน 

     แต่คำตอบที่มาจากพระคำของพระเจ้า เกี่ยวกับการฝึกฝนตนเองมีใจความว่า 2 ทิโมธี 2:3-7

     2 ทิโมธี 2:3 จงทนการยากลำบากด้วยกันกับทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์


     2 ทิโมธี 2:4 ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ


     2 ทิโมธี 2:5 นักกีฬาจะมิได้สวมพวงมาลัยถ้าเขาไม่แข่งขันตามกติกา


     2 ทิโมธี 2:6 กสิกรผู้ตรากตรำทำงานก็ควรเป็นคนแรกที่ได้รับผล


     2 ทิโมธี 2:7 จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่ท่านในทุกสิ่ง


     พระธรรมตอนนี้ ได้ให้หลักการฝึกฝนตนเอง โดยเปรียบเทียบกับอาชีพต่างๆ ดังนี้


     ประการแรก “ทหารชนะความอยากด้วยการอดทน” ผู้ที่เคยเรียนรักษาดินแดนมาก็คงพอนึกภาพออกว่าคนเป็นทหารต้องอดทนหลายเรื่อง เช่น ต้องวิ่งทั้งเช้าและเย็น เพื่อร่างกายที่แข็งแรงและเอาชนะความอยากนอนตื่นสายของตัวเองให้ได้ ทหารต้องเก็บรักษาอาวุธประจำกาย ซึ่งโดยมากในประเทศไทยจะเป็นปืน “เฮคเลอร์แอนด์คอช HK 33 /ปลย.11 หนักประมาณ 3.5 กก. ดูเหมือนเบาแต่ถ้าต้องแบกนานๆ ก็เล่นเอาเมื่อยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ฝึกแบกอาวุธไว้ ทหารก็จะไม่ชินในเวลาศึกสงคราม
 

     ประการที่ 2 “ทหารชนะความอยากด้วยการจดจ่อในภารกิจ” ความอยากเติบโตได้ดี ถ้าเราวอกแวกง่าย เรียกว่าแกว่งตาไปหาตัณหา พระเยซูยังทรงเตือนไม่ให้เรามองหญิงด้วยใจกำหนัด ถ้าเราไม่อยากเป็นคนเจ้าชู้ ก็ไม่ควรใช้เวลามองผู้หญิงอื่นมากไปกว่าการสนใจภรรยาของตนเอง เพราะถ้ามองก็จะเกิดการเปรียบเทียบ และเหมือนสุภาษิตฝรั่งที่ว่า “สนามหญ้าข้างบ้าน มักเขียวกว่าบ้านเราเสมอ”
 

     ประการที่ 3 “นักกีฬาชนะความอยากด้วยการเคารพกติกา” ไม่แปลกอะไรที่เราอยากเป็นที่ 1 แต่ถ้าเราไม่ควบคุมความอยากเอาชนะ เราก็จะละเมิดกติกา/ศีลธรรมที่ดี บางคนคิดว่าไม่มีใครจำที่ 2 ได้หรอก จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ 1 โดยไม่สนกติกา การกระทำเช่นนั้น จะบ่มเพาะนิสัยขี้โกงให้หนักข้อยิ่งขึ้นทุกวัน และเมื่อวันที่ความจริงเปิดเผย เหรียญรางวัลที่เขาได้ก็จะถูกริบไป เหลือเพียงความเสียใจและคำเย้ยหยันจากคนรอบข้าง
 

     ประการที่ 4 “กสิกรชนะความอยาก เพราะเขาเกี่ยวเก็บสิ่งที่เขาลงแรง” ชัยชนะเป็นเรื่องน่ายินดีโดยเฉพาะเมื่อชัยชนะนั้นเกิดขึ้นจากความมานะบากบั่นของตนเอง คำพูดผู้เฒ่าผู้แก่ที่ว่า “ข้าวที่เราปลูกเองอร่อยที่สุด” ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากความอร่อยแล้ว เรายังรับความภูมิใจของตนเองด้วย
 

     ถ้าท่านได้รับความสำเร็จจากการเอาชนะต่อความอยากของท่านได้สักเรื่อง เชื่อเถอะว่าท่านจะรู้สึกยินดี และจะเป็นเชื้อไฟให้ท่าน สามารถทำในสิ่งที่ยากขึ้นไปได้อีก 

    สุดท้ายอยากฝากให้พิจารณาใคร่ครวญตนเองอย่างเอาจริงเอาจังและทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเราจะไม่ต้องเป็นคนที่ “อยู่อย่างอยาก” อีกต่อไป 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คิด... เลือกคู่ดูให้เข้ม


คิด... เลือกคู่ดูให้เข้ม

เขียนโดย อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง  

     ตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น เช้าวันอาทิตย์จะเป็นวันที่ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะอยากดูการ์ตูนเท่านั้น แต่เพราะต้องรีบตื่นมาดักเอาหนังสือพิมพ์อ่านเป็นคนแรก คอลัมน์ที่ผมชอบอ่านมากก็คือ “ลุงหนวดหาคู่” กับ “มาลัยเสี่ยงรัก” ผมอ่านไปยิ้มไป ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เดียงสากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ สักนิด คงเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมผมต้องรีบลงมาอ่านเป็นคนแรก เพราะขืนใครรู้เข้า ผมต้องโดนล้อแน่ๆ

     กว่าจะรู้เดียงสาเรื่องความรัก ผมก็อายุย่าง 18 ปีแล้ว ตอนนั้นผมเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 หากใครไม่มีแฟน/คนที่เป็นข่าวด้วย/กิ๊ก จะเป็นเรื่องที่เสียฟอร์มเอามากๆ ผู้ชายทุกคนจึงต้องทำให้ตัวเองดูน่าสนใจ เผื่อว่าจะมีสาวๆ มาหลงชอบบ้างสักคน

     วิธีการของผมคือ สมัครเป็นตัวแทนแข่งขันทุกประเภท ในนามของโรงเรียน แม้กระทั่งสมัครเป็นคนเชิญธงชาติทุกเช้า แย่หน่อยตรงที่วันหนึ่ง ผมหัวแตก แต่ยังต้องออกไปเชิญธงชาติ เลยกลายเป็นที่มาของฉายาว่า “รุ่นพี่หัวปะ” ถึงจะน่าอาย แต่อย่างน้อยการเป็นจุดสนใจก็ทำให้ผมเชื่อเอาเองว่า จะมีคนมาแอบปลื้มแอบชอบและทำให้ผมไม่ต้องเสียฟอร์มว่าเป็นคนไม่มีแฟน??

     หลายปีผ่านไป การสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ โดยการเข้าไปทำความรู้จัก แนะนำตัวเอง/การใช้ความสัมพันธ์แบบรุ่นพี่กับรุ่นน้อง อย่างที่ผมคุ้นเคยเริ่มกลายเป็นเรื่องล้าสมัยเสียแล้ว

     ทุกวันนี้ เราคงเคยได้ยินว่า มีคู่แต่งงานหลายคู่ ที่รู้จักกันผ่านอินเทอร์เน็ต ยิ่งเดี๋ยวนี้มี Facebook ด้วยแล้ว ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องง่าย หนุ่มสาวสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและรูปถ่ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดูๆ ไปก็สะดวกและเหมาะสำหรับโลกในยุคปัจจุบันดี จะติดก็ตรงที่เราไม่แน่ใจว่า ข้อมูลที่เราได้มานั้น มันจะเป็น Facebook/Fakebook กันแน่ดังนั้น ข่าวอาชญากรทางอินเตอร์เน็ต ที่เหยื่อถูกหลอกไปทำอนาจาร จึงมีให้เราเห็นมากไม่แพ้กัน ส่วนใหญ่ก็เพราะหลงในรูปหล่อๆ สวยๆ และเชื่อในข้อมูลที่แปะไว้ใน Social network นั่นเอง??

     ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่เราชอบมองคนที่หน้าตาดี แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวัง รูปร่างภายนอกก็อาจจะหลอกลวงเราได้ แม้เราจะชอบพูดกันเสียงดังว่า เรารักคนที่นิสัย แต่พอเอาเข้าจริง หลายคนก็แพ้ให้กับเสน่ห์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแววตาชวนฝัน/อาจเป็นริมฝีปากที่หยาดเยิ้ม

     ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ธุรกิจศัลยกรรมรูปร่างและใบหน้า มีลูกค้าแห่มาใช้บริการไม่ขาดสาย และถ้าไม่ใช่ว่าผมเป็นคริสเตียนและกลัวมีดหมอเอามากๆ ผมอาจกลายเป็นโดม/ณเดชไปแล้วก็ได้นะครับ (แต่ความสูงนี่คงเพิ่มกันลำบาก)??
 
     ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกต่อต้านการดูแลความสวยงามให้กับตัวเอง เพราะผมยังชอบพาแฟนไปร้านทำผม/ชอบให้เธอแต่งหน้าเวลาออกงานด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือ การให้คุณค่าและความสำคัญกับเรื่องความสวยงามมาก จนลืมสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

1ซมอ. บทที่ 16

     1ซมอ.16:1 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรของ เขาเราจัดเตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา"

     1ซมอ.16:2 ซามูเอลก็กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยินเขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย" และพระเจ้าตรัสว่า "จง นำโคตัวเมียไปกับเจ้าตัวหนึ่งและกล่าวว่า "ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า"

     1ซมอ.16:3 จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเรา จะบอกชื่อแก่เจ้า"

     1ซมอ.16:4 ซามูเอลก็กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา และมาที่เบธเลเฮมพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นออกมาหาท่านกล่าวว่า "ท่านมาอย่างสันติหรือ"
     1ซมอ.16:5 และซามูเอลตอบว่า "มาอย่างสันติ เรามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า จงชำระตัวของท่านให้บริสุทธิ์และขอเชิญมาที่ การถวายสัตวบูชากับเรา" และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและบุตรทั้งหลายของท่านให้บริสุทธิ์ และเชิญเขาเหล่านั้นให้ไป ยังการถวายสัตวบูชา

     1ซมอ.16:6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า "ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแน่ แล้ว"

     1ซมอ.16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"

     1ซมอ.16:8 แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"

     1ซมอ.16:9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"
     1ซมอ.16:10 แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้"

     1ซมอ.16:11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ" เจสซีตอบว่า "ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดู เถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่" และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะ มาที่นี่"

     1ซมอ.16:12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเจ้าตรัสว่า "จงลุกขึ้น เจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ"

     1ซมอ.16:13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและเจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับดาวิด อย่างมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์

      1ซมอ.16:14 ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้าก็พรากจากซาอูล และวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็ทรมานซาอูล
     1ซมอ.16:15 และพวกมหาดเล็กของซาอูลก็กราบทูลว่า "ดูเถิด วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่
     1ซมอ.16:16 ขอเจ้านายของข้าพระบาททั้งหลาย จงบัญชาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทผู้ที่อยู่ต่อพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีฝีมือใน การดีดพิณ และเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้าสิงฝ่าพระบาท ก็ให้เขาดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะหายดี"

     1ซมอ.16:17 ซาอูลก็รับสั่งผู้รับใช้ของพระองค์ว่า "จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมาให้เรานำเขามาหาเรา"

     1ซมอ.16:18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีด พิณเป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดีและพระเจ้าทรงสถิตกับเขา"

     1ซมอ.16:19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า "จงให้ดาวิดบุตรของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา"
     1ซมอ.16:20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตร ของท่านให้ถวายซาอูล
     1ซมอ.16:21 ดาวิดก็มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับราชการ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดก็ได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล
     1ซมอ.16:22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า "จงอนุญาตให้ดาวิดอยู่รับราชการกับเรา เพราะเขาเป็นที่พอตาพอใจของเรา"
     1ซมอ.16:23 อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิงซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวายซาอูลก็ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจากพระองค์ไป

     ในพระธรรม 1 ซามูเอล บทที่ 16 ได้สะท้อนให้เราเห็นว่า แม้แต่ผู้เผยพระวจนะอย่างซามูเอลก็ยังเผลอใช้คุณลักษณะภายนอกในการตัดสินคนที่จะมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล จนพระเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า
     1ซมอ.16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
     พระเจ้าทรงสอนให้เรามองคนๆ หนึ่งให้ลึกลงไปกว่าสิ่งที่เราเห็นจากภายนอก และเพื่อให้มันเกิดขึ้นจริงในชีวิตของตัวเอง ผมจึงมักท่องพระคัมภีร์ข้อหนึ่งให้ขึ้นใจอยู่เสมอว่า

      สภษ.31:30 เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็เปล่าประโยชน์แต่สตรียำเกรงพระเจ้า สมควรได้รับคำสรรเสริญ

     ซึ่งผมอยากแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า เราจะสามารถให้ความสำคัญกับภายในมากกว่ารูปกายภายนอกได้อย่างไร??

     ประการแรก “เสน่ห์หลอกเราได้” 

     ถ้ามีใครเคยใช้สุ่มจับปลาจะรู้ว่า การหักเหของแสงจะทำให้เรามองเห็นปลาจากผิวน้ำอยู่ใกล้กว่าความเป็นจริง และทำให้เราจับปลาไม่ได้ ถ้าไม่รู้ความจริงข้อนี้ เสน่ห์ก็เหมือนกับผิวน้ำที่หักเหแสง จนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นปลาอย่างที่มันเป็นจริงๆ ได้

     การรักษาระยะห่างที่เหมาะสม จะทำให้เราสามารถชื่นชมเสน่ห์ แต่ไม่หลงเสน่ห์จนถูกหลอกได้ ดังนั้น ถ้าเราต้องการรู้จักใครสักคนหนึ่ง เราจำเป็นต้องเข้าใกล้เขาให้มากพอที่จะรู้จักกัน อาจจะเรียกว่ากระชับวงล้อมก็คงพอได้กระมัง แต่ก็ต้องรักษาระยะห่าง จนไม่กลายเป็นคนตาบอด เพราะความรัก ความหลง 

     ถ้ามีชายหนุ่ม/หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาถูกใจเรา มานั่งติดกับเราสัก 5 นาที (สมมติว่าคุณแอบชอบอยู่) รับรองได้เลยว่า เราแทบนั่งไม่ติดเลยล่ะ แต่ถ้าเราถอยห่างออกมาอีกสักนิดให้พอเหมาะ นอกจากเราจะได้ปลื้มกับใบหน้าหล่อๆ สวยๆ แล้ว เราจะได้เห็นด้วยว่าหัวใจของเธอ/เขามันสวยหล่อเหมือนที่ปรากฏภายนอกหรือไม่??

     ประการต่อมา “ความงามมีวันหมดอายุ” 

     ตอนที่ผมอายุ 18 ปี ผมมักใช้เวลาเป็นชั่วโมงในแต่ละวันกับการยืนมองตัวเองหน้ากระจก เพราะตอนนั้นผมเริ่มเล่นเพาะกาย อะไรๆ มันก็ดูหล่อ ดูดีและดูตึงไปหมดแต่มาตอนนี้กล้ามท้อง 6 ลูกมันเริ่มจะมารวมกันเป็นลูกเดียวแล้ว และแผงกล้ามอกที่เคยตึงมันก็ชักจะหย่อนคล้อยลงไปบ้างแล้ว เหลือก็แต่หูนี่ล่ะครับ ที่นับวันจะตึงมากขึ้นเรื่อยๆ

     ดังนั้น ถ้าเรารักชอบใครสักคน เพราะความงามภายนอกของเขาเพียงอย่างเดียว ผมบอกได้เลยว่า ความรักที่คุณมีให้เขามันจะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันหมดอายุในที่สุด และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราควรใช้เวลาศึกษาความงามภายในให้มากขึ้นเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีวันที่จะหมดอายุ??

     ประการสุดท้ายสำคัญที่สุดก็คือ “เลือกคนที่รักพระเจ้า” 

     ในทางจิตวิทยานั้น อธิบายว่ามนุษย์ทุกคน จะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เขาอยู่ใกล้และใช้เวลาด้วย ดังนั้นเราจึงมีนิสัยบางอย่างคล้ายพ่อแม่/คนที่เลี้ยงดูเรามา แม้ว่านิสัยนั้นจะเป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนาก็ตาม และเป็นเหตุผลเดียวกับที่นักจิตวิทยา พยายามเตือนพ่อแม่ไม่ให้ปล่อยให้ลูกเล็กๆ อยู่กับวีดีโอเกมที่ใช้ความรุนแรงมากเกินไป 

     เวลาที่ผมถามคนทั่วไปว่าชอบคู่ครอง/คนรักแบบไหน คำตอบที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ “ชอบคนดี” แต่น่าแปลกที่คนเหล่านั้นกลับไปมองหาคนดีในสถานที่เที่ยวกลางคืน แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะรู้คือ โอกาสที่เราจะได้เจอคนดีในสถานที่ที่ดีย่อมมีมากกว่าไม่ใช่หรือครับ 

     สถานที่และบุคคลที่เราไปและใช้เวลาด้วย จะมีผลกับวิธีคิดและการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น คนที่ใช้เวลากับพระเจ้าผู้ประเสริฐ ก็น่าจะเป็นคนที่น่าปรารถนามากที่สุดไม่ใช่หรือครับ 

     เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ทรงอดทนนาน ทรงพร้อมให้อภัยอยู่เสมอ ในยามที่เราต้องการคนรับฟัง พระองค์ทรงเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ ฯลฯ หนุ่มสาวที่รักทุกท่านครับ พระลักษณะของพระเจ้าเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังตามหาในตัวของคู่ชีวิตในอนาคตของคุณหรอกหรือครับ??

     ผมเคยถามผู้หญิงคริสเตียนหน้าตาดีคนหนึ่งว่า “เพราะอะไรถึงยังไม่มีแฟน” เธอตอบว่า “พี่รู้มั้ย ผู้ชายดีๆ มันหายาก ยิ่งผู้ชายคริสเตียนดีๆ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่” ปรากฏว่าคนที่ฟังอยู่ด้วยกัน 10 กว่าคนหัวเราะกันครืน แต่ผมฟังแล้วตลกไม่ออก

     เชื่อผมเถอะครับว่า ถ้าเราเป็นคริสเตียนที่ใช้เวลากับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เราจะกลายเป็นชายและหญิงที่ดีขึ้นในทุกๆ วันอย่างแน่นอน 

     ดังนั้น ชายและหญิงคริสเตียนดีๆ หาไม่ยากแน่นอนครับ แต่เราไม่ได้ออกไปหามากกว่า 

     เราคงไม่ได้คิดว่า พอตื่นเช้าขึ้นมาจะมีนกกระจาบตัวใหญ่คาบเอาห่อผ้ามาทิ้งหน้าบ้าน แล้วข้างในนั้นจะมีชาย/หญิงในฝัน แล้วก็จูงมือกันเข้าประตูวิวาห์หรอกนะครับ

     อย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า ถ้าเราไม่เข้าใกล้คนที่เราสนใจ เราก็ไม่สามารถรู้จักเขา/เธอได้ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้เกินไป คนๆ นั้นที่คุณรัก ก็อาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคนๆ นั้น

     ดังนั้นผมอยากให้ทุกคนเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ที่จะมองหาความงามภายใน ที่จะสามารถรักเขาไปตลอดชีวิตของคุณ เมื่อนั้นล่ะ คุณจะพบคู่แท้ คู่พระพร 

     ขอพระเจ้าอวยพรครับ


การยืนหยัดของดาเนียล


การยืนหยัดของดาเนียล

เขียนโดย อ.วาระ มีชูธน  

     ผมรู้สึกว่าบางครั้ง หากเรามีปัญหาข้อข้องใจฝ่ายจิตวิญญาณ เราควรจะต้องมีคนบางคนที่เราสามารถคุยด้วยได้ มีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเราได้ อย่างเช่น เรื่องเพศ/เรื่องแฟน/แม้แต่กับเพื่อน เราสามารถคุยเข้าใจได้เพียงบางเรื่องเท่านั้น บางครั้งจึงต้องคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก แต่ก็มั่นใจในตัวคนนั้น เช่น คนเครียดต้องคุยกับหมอ เราจะเห็นได้ว่าสมัยนี้  Hot line วัยรุ่นจึงมาแรง นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์และยืนยันได้ว่า เด็กวัยรุ่นต้องการคนที่คุยด้วยได้ ต้องการระบายปัญหาและต้องการรับการแนะแนว ตอนนี้ในชั้นรวีที่คริสตจักรเมืองไทยเรา กำลังเรียนเรื่องของดาเนียล กำลังเข้มข้น เพราะฉะนั้นผมจึงอยากแบ่งปันในสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการสอนรวีในครั้งนี้

ดาเนียลบทที่ 1

     ดาเนียล 1:1 ในปีที่ 3 ของรัชกาลเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงล้อมเมืองไว้

     ดาเนียล 1:2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเยโฮยาคิม กษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในหัตถ์ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งเครื่องใช้บางชิ้นแห่ง พระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ท่านก็นำของเหล่านั้นมายังแผ่นดินชินาร์มายังนิเวศแห่งพระของพระองค์ท่าน และ ทรงบรรจุเครื่องใช้เหล่านั้นไว้ในคลังของพระของพระองค์ท่าน

     ดาเนียล 1:3 แล้วกษัตริย์นั้นก็ทรงบัญชาให้อัชเปนัสหัวหน้าขันทีของพระองค์ท่าน ให้นำคนอิสราเอลบางคน ทั้งเชื้อพระวงศ์และ เชื้อสายของขุนนาง

     ดาเนียล 1:4 พวกหนุ่มๆที่ปราศจากตำหนิ มีรูปร่างงามและเชี่ยวชาญในสรรพปัญญา กอปรด้วยความรู้และเข้าใจในสรรพวิทยา กับสามารถที่จะรับราชการในพระราชวัง และทรงให้สอนวิชาและภาษาของคนเคลเดียให้เขาทั้งหลาย

     ดาเนียล 1:5 พระราชาทรงให้นำอาหารสูงซึ่งพระราชาเสวย และเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ท่านดื่มให้แก่เขาเหล่านั้นตามกำหนดทุกวัน ทรงให้เขาทั้งหลายรับการเลี้ยงดูอยู่สามปี เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วก็ทรงให้เขาเข้ารับราชการ

     ดาเนียล 1:6 ในบรรดาคนเผ่ายูดาห์นั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์

     ดาเนียล 1:7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่า เมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าอาเบดเนโก

     ดาเนียล 1:8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่า จะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน ด้วยอาหารสูงของพระราชา/ด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน

     ดาเนียล 1:9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล

     ดาเนียล 1:10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้า เข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา"

     ดาเนียล 1:11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์

     ดาเนียล 1:12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม

     ดาเนียล 1:13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น"

      ดาเนียล 1:14 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่ 10 วัน

     ดาเนียล 1:15 เมื่อครบ 10 วันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับ ประทานอาหารสูงของพระราชา

     ดาเนียล 1:16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา

     ดาเนียล 1:17 ฝ่ายอนุชนทั้ง 4 คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญาและดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ

     ดาเนียล 1:18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัด เนสซาร์

     ดาเนียล 1:19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ

     ดาเนียล 1:20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่า พวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์ 10 เท่า

     ดาเนียล 1:21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

     ดาเนียลบทที่ 1 พูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองของเยรูซาเล็มที่กำลังย่ำแย่ เพราะกษัตริย์เมืองบาบิโลนได้ยกทัพมาตีและตีได้สำเร็จด้วย เมื่อตีเสร็จแล้วจึงคัดเอาบุคลากรที่ฉลาด แข็งแรง มีฝีมือในการทำงานไปเป็นนักโทษ ไปเป็นคนงาน ไปใช้งานในเมืองบาบิโลน ทหารบาบิโลนได้ยกเอาข้าวของต่างๆ ในพระวิหารกลับไปยังบาบิโลนด้วย

     ลองคิดดูนะครับถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรา ตัวผมและท่านผู้อ่านต้องถูกต้อนไปใช้แรงงานเหมือนทาส ต้องทำงานในต่างแดน ต้องเห็นคนอื่นมาทำลายสถานที่ มาฉกฉวยเอาสิ่งของที่เรารักมากๆ ไปจากเรา โดยที่เราต้องได้แต่นั่งมอง คงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยเลยทีเดียวใช่ไหมครับ

     ดาเนียลและเพื่อนๆ ก็คงรู้สึกทั้งโกรธเกลียดและเสียใจเช่นเดียวกัน 

    มีประโยคหนึ่งว่า “God Delivered” หมายถึง พระองค์ทรงยกให้/ทรงปลดปล่อย พระคัมภีร์เขียนชัดเจนว่า พระองค์ทรงมอบเยรูซาเล็มให้กับบาบิโลน

     เมื่อผมอ่านครั้งแรก ผมแทบไม่อยากเชื่อว่า พระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักนิรันดร์ จะทำอย่างนี้กับคนที่รักพระองค์ พระองค์เป็นสาเหตุให้สงครามนี้เกิดขึ้นหรือ?

     แล้วในชีวิตของเรา เมื่อเราสูญเสียคนที่เรารัก เอ็นทรานส์ไม่ติด เลิกกับแฟน เกิดอุบัติเหตุและมีสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต ฯลฯ พระเจ้าเป็นผู้ Deliver ให้เราหรือ??

     จริงอยู่ ที่พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งและพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เกิด แล้วจะเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์จะไม่บังคับคือ การตัดสินใจของเรา พระองค์ทรงอนุญาตให้เราตัดสินใจเอง

     มีน้องในกลุ่มอนุชนคนหนึ่ง อธิบายได้ดีมาก คือ เหมือนกับคุณพ่อที่อนุญาตให้ลูกๆ ออกไปเล่นในสนาม โดยรู้ว่าอาจมีอันตราย/โอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ แต่คุณพ่อก็ได้กำชับและให้กฎเกณฑ์ในการออกไปเล่นกับลูกๆ ไว้ ถ้าลูกๆ เชื่อฟังคำแนะนำก็คงไม่มีปัญหา/การทะเลาะเบาะแว้งกัน พระเจ้าอนุญาตให้ลูกๆ ของพระองค์ใช้ชีวิตตามการตัดสินใจของตนเอง โดยทรงมีแนวทางวางไว้ให้แล้ว

     เมื่อดาเนียลและเพื่อนๆ ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม และเดินทางไปยังบาบิโลน พวกเขาหลายคนคงจะสงสัยพระเจ้า โกรธพระเจ้า ไม่เข้าใจพระองค์ 

     คงมีคริสเตียนหลายคนที่เมื่อเจอเหตุการณ์ในชีวิตมาถึงขั้นวิกฤติ คงจะบ่นและต่อว่าพระเจ้า งอนพระองค์ ไม่ยอมคุยด้วย โดยคิดว่าทุกสิ่งเป็นแผนการของพระเจ้า

     ในพระคำดาเนียลข้อต่อๆ มา บอกไว้ว่า พวกบาบิโลนได้ยกเอาสิ่งของในพระวิหารไปเก็บไว้ในห้องเก็บสมบัติร่วมกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ขณะที่คริสเตียนชาวเยรูซาเล็มจะต้องไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

     เยเรมีย์ 1:8 อย่ากลัวหน้าเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยกู้เจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"

     นั่นหมายความว่า เพื่อจะอยู่ร่วมกับคนของพระองค์ พระเจ้าทรงยอมเอาตัวของพระองค์ตามติดคริสเตียนชาวเยรูซาเล็มไปยังบาบิโลนด้วย โดยทรงยอมไปอยู่ในห้องเก็บสมบัติมืดๆ

     อย่าลืมว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะลำบาก/มืดมิดสักเท่าไหร่ ขอให้ระลึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ๆ เรา คอยฟังเราและพระองค์ทรงเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา

     เมื่อพวกของดาเนียลมาถึงกรุงบาบิโลน พวกบาบิโลนพยายามจะเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นตัวของดาเนียล

     อย่างแรก คือ ความคิดของดาเนียล พยายามสอนภาษาใหม่ๆ การศึกษาใหม่ มุมมองใหม่

     อย่างที่ 2 คือ เขาเปลี่ยนชื่อของดาเนียลใหม่ จริงๆ แล้ว ดาเนียลแปลว่าพระเยโฮวา (คือผู้ตัดสิน)  แต่ถูกเปลี่ยนเป็น เบลเทชัสซาร์แปลว่าพระเจ้าเบลผู้ทรงพิทักษ์ 

     ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยเขียนเล่าถึงความหมายเรื่องชื่อเมื่อฉบับก่อนหน้าไว้แล้วว่า  

     ชื่อในพระคัมภีร์เดิมนั้น จะมีความหมายถึง ความเป็นตัวของคุณเองอย่างแท้จริง เรียกว่าเป็น Identity คือ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร มีความหมายเป็นส่วนตัว
 
     ถามว่าคุณจะรู้สึกยังไงถ้าเพื่อนๆ มาเปลี่ยนชื่อคุณทุกวันๆ ว่า ซาตาน!!! 

     หลายครั้งโลกพยายามจะเปลี่ยน  Identity  ของเรา ความเป็นตัวเรา ซึ่งแท้ที่จริงควรจะวางอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับนำไปวางอยู่บนสิ่งของที่เรามี ยี่ห้อที่เราใช้และบนของภายนอกที่ไร้ค่า

     แต่เราต้องอย่ายอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลกนะครับ

     ถ้าเราดูจากพระธรรมดาเนียล ก็จะเห็นว่า ยังคงเรียกดาเนียลว่าดาเนียลตั้งแต่ต้นจนจบ แสดงให้เห็นว่าดาเนียลไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ไม่ได้ยอมจำนนต่อแรงกดดันใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต

     อย่างที่ 3 คือ อาหารการกิน ทำไมการเปลี่ยนอาหารการกินจึงเป็นเรื่องใหญ่ คำตอบคือ ถ้าเป็นการกินอาหารที่เปลี่ยนเมนูแต่ละมื้อ มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราพูดถึงเรื่องของการเปลี่ยนการกินอาหารที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อนี่ซิเรื่องใหญ่

     ยกตัวอย่างเช่น คนอิสลามไม่ทานหมู คนฮินดูไม่กินเนื้อ นั่นแหละครับ เราจะไปเปลี่ยนการกินของพวกเขาไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความเชื่อ

     ดาเนียลจะไม่กินอาหารจากรูปเคารพ/จากพระอื่นๆ อย่างเด็ดขาด ที่จริงไม่ใช่ว่าเขากินไม่ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่กิน ดาเนียลได้ตัดสินใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Resolve”  คือ การยืนหยัดบนหลักการณ์ของความเชื่อ เป็นการตัดสินใจยืนหยัดบนหลักการณ์ของความเชื่ออย่างแน่วแน่ตลอดชีวิตของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง

     คุณและผมน่าจะมาลอง “Resolve” ตัวเองต่อพระเจ้าว่า เราจะยืนหยัด ในขณะที่คนอื่นๆ อาจยอมคุกเข่า และตัดสินใจอย่างแน่วแน่กับพระองค์ เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้และทรงครอบครอง ควบคุมทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างโดยแท้จริง